ถ้าประเทศเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมด บริษัทน้ำมันจะเป็นอย่างไร???

รถยนต์ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก บริษัทน้ำมันก็ทำกำไรจากตรงนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่รถยนต์กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทน้ำมันจะเป็นอย่างไร

ก่อนจะไปถึงรถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้านับเป็นนวัตกรรมที่ผู้พัฒนารถยนต์หลายๆค่ายกำลังเร่งพัฒนา ด้วยกระแสการตอบรับที่ดีจากนานาประเทศ และสิ่งที่น่าจะเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ มันเป็นพลังงานสะอาด ไม่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้คาดการณ์กันว่าหากรถยนต์ทุกคันในประเทศใดประเทศหนึ่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้ากันหมด มลภาวะโดยรวมของประเทศก็คงจะดีขึ้นแน่ๆ ว่าแต่ว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหรือสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะทำอย่างไรหากสังคมหันไปใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันหมด

รถยนต์ไฟฟ้าที่วางแบตเตอรี่ไว้ที่พื้นของตัวถังรถ

พลังงานไฟฟ้ามากจากไหน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจที่มาของพลังงานไฟฟ้ากันก่อนว่า พลังงานไฟฟ้าที่เราใช้กันในทุกวันนี้ไม่เพียงแต่รถยนต์ หรือในการคมนาคมเท่านั้น พลังงานไฟฟ้าตามบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมที่เราใช้กันมีแหล่งกำเนิดมาอย่างไร แหล่งกำเนิดหลักๆของพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นมาจากหลายทางทั้งจากถ่านหิน จากเขื่อนผลิตไฟฟ้า จากก๊าซธรรมชาติ จากน้ำมัน ก๊าซชีวภาพ หรือแม้แต่ลม โดย3อันดับวัตถุดิบที่ประเทศไทยใช้ในการผลิตไฟฟ้าคือ ก๊าซธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือถ่านหินและพลังงานน้ำจากเขื่อนในการปั่นกระแสไฟฟ้า แต่ในระยะยาววัตถุดิบที่จะเหลือให้ใช้ไปได้นานที่สุดคือถ่านหินที่น่าจะมีให้ใช้ไปอีกราวๆ 200ปี

ก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้า

พลังงานจากเขื่อนก็ให้กระแสไฟฟ้าได้แม้จะไม่มากนัก

นั่นหมายความว่าถ้ารถยนต์กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า วัตถุดิบที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะถูกเผาผลาญมากขึ้น  และการเผาผลาญพลังงานเหล่านั้นก็ทำให้เกิดไอเสียลอยสู่ชั้นบรรยากาศเช่นกัน แสดงว่าวงการรถยนต์ต่อให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไปทั้งหมด ก็ยังมีพลังงานไฟฟ้าให้ใช้ได้อีกหลายปีแน่นอน

ถ้ารถยตนต์ในประเทศไทยกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทน้ำมันจะเป็นอย่างไร

ถ้าถามว่าเมื่อถึงวันที่รถยนต์ในประเทศไทยกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด บริษัทน้ำมันจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือก็คงไม่ถึงกับล้มละลาย เพราะบริษัทน้ำมันไม่ได้ขายน้ำมันให้กับรถยนต์เท่านั้น และธุรกิจของบริษัทน้ำมันในประเทศไทย อย่างเช่น ปตท. ก็มีการปรับมาตัวมาในระยะหนึ่งแล้ว ไม่ได้มุ่งเน้นการขายน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว พูดได้เลยว่าบริษัทน้ำมันไม่มีทางล้มละลายได้แม้ว่ารถทุกคันในประเทศนี้จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือแหล่งพลังงานที่เรานำมาใช้ในการสับดาบภายในของรถยนต์นี้ เป็นสัดส่วนเพียง 1ใน4 ของน้ำมันทั้งหมดที่บริษัทน้ำมันขายให้แก่ภาคธุรกิจต่างๆได้ใช้

น้ำมันยังคงขุดเจาะต่อไปแม้ไม่มีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแล้ว

บริษัทน้ำมันยังอยู่ได้เพราะอะไร

1.บริษัทน้ำมันที่ไม่ได้ขายแค่น้ำมัน

บริษัท ปตท. ถือเป็นบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลายฝ่ายจึงคิดว่าหากรถยนต์กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้ากันหมด ก็คงส่งผลกระทบต่อบริษัทนี้แน่ๆ แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะปัจจุบัน ปตท. เองก็ทำธุรกิจอื่นๆด้วยในสถานีบริการน้ำมันนั้นๆ จนกลายเป็นคำหรูหราที่เรียกว่า PTT Life Station คือสถานีที่ไม่ได้มีแค่การให้บริการน้ำมันเท่านั้น ยังมีบริการอื่นๆเพื่อชาร์จพลังให้ชีวิตอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหารหลากหลาย ธนาคาร ศูนย์บริการซ่อมรถยนต์ พื้นที่ให้เช่าต่างๆเพื่อเปิดเป็นร้านขนาดย่อม ดังนั้นแม้วันหนึ่งรถยนต์จะไม่ได้เติมน้ำมันแล้ว แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ และเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นการให้บริการด้านไฟฟ้าแทน ถึงตอนนั้นคงไม่ได้แข่งกันแค่เรื่องบริการที่มีครบวงจร แต่จะแข่งกันถึงเทคโนโลยีที่ทำให้ชาร์จไฟฟ้าได้เร็วขึ้นอีกด้วย

อนาคตบริษัทน้ำมันจะเป็นอย่างไร

สถานีบริการน้ำมันที่ไม่ได้ขายแค่น้ำมันแต่ชาร์จพลังให้กับทุกชีวิต

2. ผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน

การกลั่นน้ำมันดิบไม่เพียงแต่ได้ผลลัพธ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น ยังได้ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆที่นำมาใช้ในวงการธุรกิจได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำมันก๊าด ยางมะตอย ก๊าซหุงต้มที่ใช้กันทุกครัวเรือน ฯลฯ ทำให้จะมีแค่สัดส่วนของวงการรถยนต์เท่านั้นที่ลดการใช้น้ำมันลง และทางบริษัทก็นำผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆไปใช้ในการค้าขายได้ต่อไป ในสายตาคนขับรถยนต์อาจจะมองว่าบริษัทนี้ขายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก แต่ในระดับองค์กรที่เป็นหมาชนแล้ว วิสัยทัศน์ของผู้บริหารจะนำสินค้าของเขาที่ได้จากการกลั่นน้ำมันออกมาขายในทุกรูปแบบที่ทำได้และสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าอีกด้วย

การกลั่นน้ำมันไม่ได้เพียงแต่น้ำมันสำเร็จรูปเพื่อรถยนต์เท่านั้นแต่ได้อย่างอื่นที่เราใช้ในชีวิตประจำวันด้วยเช่นแก๊สหุงต้ม, ยางมะตอย

ดูเพิ่มเติม
>> ข่าวดี! เพื่ออากาศที่ดี ผู้ผลิตรถยนต์เร่งผลิต รถลดมลพิษมากขึ้น
>> บริษัทในสิงคโปร์เปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟ 30 นาทีแบตเต็มหลอด

3. ภาคธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่รถยนต์

ภาคอุตสาหกรรมเป็นอีกภาคธุรกิจหนึ่งที่ใช้พลังงานมากไม่แพ้ภาคธุรกิจอื่นๆ ซึ่งแหล่งพลังงานหลักของภาคอุตสาหกรรมนั้นมาจากพลังงานหมุนเวียนเป็นหลักราวๆ50% รองลงมาเป็นพลังงานจากถ่านหินเนื่องจากหาง่ายและมีราคาถูกราวๆ18% จำนวนสัดส่วนนี้พอๆกับสัดส่วนของการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ราวๆ17% ภาคอุตสาหกรรมนี้ใช้น้ำมันสำเร็จรูปไปไม่น้อยทีเดียวเพราะว่า 17%นี้คือจำนวน 5แสนตันต่อปี แน่นอนว่าต้องซื้อมาจากบริษัทผู้ให้บริการด้านน้ำมันนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น ภาคขนส่งอื่นๆที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าก็ยังคงพึ่งพลังงานจากน้ำมันดีเซลต่อไป นั่นก็คือ วงการการบิน วงการการเดินเรือ รวมไปถึงวงการรถไฟด้วย ระบบขนส่งของวงการต่างๆเหล่านี้ยังคงต้องใช้น้ำมันดีเซลเป็นหลักแม้ว่ารถยนต์ทุกคันในประเทศจะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าไปหมดแล้วก็ตาม

ภาคการบินก็จำเป็นต้องใช้น้ำมันดีเซลไปอีกนาน

รถยนต์ไฟฟ้านั้นยังมีไม่ถึงหมื่นคัน ขณะที่รถยนต์สันดาบภายในของประเทศไทยมียอดจดทะเบียนสะสมราว 40ล้านคันแล้ว กว่า40ล้านคันนี้จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด คุณคิดว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าไร แม้จะเป็นเรื่องที่ยังอีกไกลแต่ก็มีหลายฝ่ายอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆเพราะว่าบนท้องถนนจะมีแต่รถที่ไม่ปล่อยไอเสียออกมาสร้างความรำคาญอีกต่อไป ส่วนบริษัทน้ำมันก็ไม่หนีไปไหนและยังคงดำเนินการต่อด้วยเหตุนี้ไม่ว่าสหราชอาณาจักรไทยจะไม่มีรถยนต์สันดาบภายในวิ่งอยู่แล้วแม้แต่คันเดียว บริษัทน้ำมันก็ยังคงและสร้างคุณค่าให้กับประชาชนไทยไปได้อีกนานด้วยธุรกิจที่มีมากมาย สินค้าที่นอกเหนือจากน้ำมัน รวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นที่ยังต้องพึ่งพาน้ำมันด้วย และเมื่อถึงตอนนั้นสถานีบริการน้ำมันจะไม่ได้มีน้ำมันให้เติมแล้ว แต่กลายเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าแทน ซึ่งคงไม่ได้มีไว้แค่ชาร์จไฟฟ้าให้รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ยังมีร้านรวงต่างๆให้เราได้หยุดพักชาร์จพลังระหว่างการเดินทางอีกด้วย

รถยนต์ที่จดทะเบียนสะสมในประเทศไทยมีราว 40ล้านคัน

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *